การขยายตลาดการค้า

1. หนึ่งในนโยบายสำคัญที่รัฐบาลอินโดนีเซียกำลังดำเนินการอยู่

คือ การเร่งจัดทำและเจรจาความตกลงระหว่างประเทศด้านเศรษฐกิจกับคู่ค้าที่มีศักยภาพ รวมถึงการพยายามเจาะตลาดใหม่ ๆ ที่การค้าการลงทุนของอินโดนีเซียยังไปไม่ถึง/มีศักยภาพ เช่น EU-Indonesia CEPA เป็นต้น โดยความตกลงสำคัญ อาทิ (1) Regional Comprehensive Partnership Agreement (RCEP) ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. 2566 และคาดว่าจะสามารถเพิ่มการส่งออกและ FDI ให้แก่ อินโดนีเซีย ได้อย่างมีนัยสำคัญ และ (2) Indonesia-Korea Comprehensive Economic Partnership Agreement (IK-CEPA) ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อเดือน ม.ค. 2566 ที่ผ่านมาเช่นกัน และคาดว่าจะสร้างการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้แก่อินโดนีเซียได้ราวร้อยละ 2.43 ในระยะยาว จากการส่งออก/นำเข้า และการลงทุนจากเกาหลีใต้ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงทำให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากเกาหลีใต้สู่อินโดนีเซีย ซึ่งน่าจะกลายเป็นหนึ่งในฐานการผลิตที่สำคัญของเกาหลีใต้ในไม่ช้า โดยเฉพาะในสายการผลิต EV และล่าสุดอินโดนีเซียกับอิหร่าน ก็ได้ลงนามในความตกลงการค้ากับอิหร่าน (preferential trade agreement) เพื่อขยายตลาดระหว่างกันมากขึ้น รวมถึงเป็นช่องทางที่อินโดนีเซียจะขยายการค้าการลงทุนไปยัง ประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ของอิหร่านในภูมิภาคด้วย

2. อินโดนีเซียพยายามขยายการค้ากับประเทศที่ไม่ใช่ non-traditional market และตลาดขนาดเล็กที่มีมูลค่าการส่งออกน้อยกว่า 1 ล้าน USD/ปี

เพื่อขยายตลาดและแสวงหาโอกาสทาง เศรษฐกิจ ใหม่ ๆ อันเป็นนโยบายที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องและขับเคลื่อนอย่างจริงจังตั้งแต่ห้วงไตรมาส 3/2565 นอกจากนี้อินโดนีเซียยังพยายามใช้การทูต reach out ไปยังประเทศในแอฟริกามากขึ้น

3. กระทรวงการค้าอินโดนีเซียได้ปรับนโยบายการค้าสำหรับปี ค.ศ. 2023-2024

โดยเน้นการสร้างเสถียรภาพราคาสินค้าสำคัญ การเร่งพัฒนาและบุกตลาดการค้าใหม่ ๆ สนับสนุนธุรกิจ SMEs ในการขยายกิจการและตีตลาดทั้งในและต่างประเทศควบคู่กับบริษัทขนาดใหญ่ รวมทั้งการปรับปรุงกฎระเบียบและบรรยากาศการนำเข้า-ส่งออก ให้ขยายตัวมากขึ้น และได้พยายามสร้างความร่วมมือใหม่ ๆ กับพันธมิตรการค้าการลงทุนที่มีอยู่เดิม อาทิ