ตลาดสินค้าที่มีศักยภาพ
ตลาดสินค้าที่มีศักยภาพ
ประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็นเพียงไม่กี่ประเทศที่ยังคงมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในขณะที่เกิดวิกฤตการเงินโลก นับเป็นตลาดที่มีศักยภาพสำหรับสินค้าโดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งโอกาสทางการตลาดและการลงทุนจึงยังเปิดกว้างอยู่สำหรับอินโดนีเซีย ในแง่ของการลงทุนในอินโดนีเซียนั้นมีความน่าสนใจ เนื่องจากทรัพยากรธรรมชาติของประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ และโอกาสการลงทุนก็ยังคงเปิดกว้างสำหรับอสังหาริมทรัพย์และสาธารณูปโภค ซึ่งคาดว่าการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์จะเพิ่มขึ้นหลังจากปี 2009 นี้ที่ประสบภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้คาดว่าตลาดอินโดนีเซียในปี 2010 จะมีสินค้าต่างประเทศทะลักเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าประเภททุน วัตถุดิบพื้นฐาน และสินค้าอาหารจากภาคเกษตร
ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค
เศรษฐกิจของอินโดนีเซียยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2008-2009 ซึ่งเหตุผลส่วนหนึ่งเนื่องมาจากตลาดที่มีขนาดใหญ่ของอินโดนีเซียมีประชากรประมาณ 231 ล้านคนและรายได้ประชาชาติต่อหัวประมาณ 2,271 เหรียญสหรัฐฯ ทำให้อินโดนีเซียถือเป็นตลาดที่ใหญ่สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น สินค้าประเภทอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งรวมถึงโทรศัพท์มือถือ เครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องปรับอากาศ รถจักรยานยนต์ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม รองเท้า เครื่องหนัง เครื่องสำอาง รวมทั้งสินค้าประเภทยาและอาหารเสริม สินค้าอุปโภคบริโภคของอินโดนีเซียนั้น ส่วนหนึ่งเป็นสินค้าที่ผลิตได้ในประเทศ และมีการนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งการนำเข้าสินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์นั้นเมื่อหลายปีที่ผ่านมามีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น โดยเพิ่มจาก 4,035.98 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2007 เป็น 13,444.71 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2008 สำหรับสินค้าสิ่งทอมีการนำเข้าในปี 2008 ประมาณ 3,901.78 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้น 1,192 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าประเภทอาหารนั้นมีแนวโน้มว่าจะมีการนำเข้าเพิ่มมากขึ้น แม้ว่ามูลค่าการนำเข้าจะลดลงในช่วงสองปีที่ผ่านมาจาก 3,616.14 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2007 เป็น 3,197.57 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2008
ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในช่วงปลายปี 2008 ตกต่ำลงอันเนื่องมาจากวิกฤตเศรษฐกิจ โดยยอดขายรถจักรยานยนต์ รถยนต์ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์นั้นตกต่ำลงจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย อย่างไรก็ดีในปี 2009 ก็เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวของสินค้าดังกล่าวจากอัตราดอกเบี้ยที่มีการปรับให้ต่ำลงรวมทั้งกำลังซื้อของประชาชนที่เพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อน การบริโภคของประชาชนที่เพิ่มขึ้นในปี 2009 สามารถวัดได้จากยอดขายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่เพิ่มสูงขึ้นหลังจากที่ตกต่ำลงอย่างมากในช่วงต้นปี เช่น เดียวกับสินค้าประเภทเครื่องใช้ในครัวเรือนและอิเล็กทรอนิคส์ที่ยอดขายเริ่มปรับตัวดีขึ้น ยอดขายสินค้าอิเล็กทรอนิคส์ในเดือนพฤษภาคม 2009 มีมูลค่า 1.69 ล้านล้านรูเปีย เพิ่มจาก 1.56 ล้านล้านรูปเปียในเดือนก่อนหน้า โดยยอดขายในเดือนพฤษภาคม 2009 นั้นเป็นยอดขายโทรศัพท์ 333,094 เครื่อง ตู้เย็น 211,361 เครื่อง เครื่องเล่น DVD/CD 189,477 เครื่อง เครื่องปั้มน้ำ 133,406 เครื่อง เครื่องปรับอากาศ 115,495 เครื่อง และเครื่องซักผ้า 104,139 เครื่อง ยอดขายเครื่องปรับอากาศนั้นเพิ่มขึ้น 11% (115,495 เครื่องจาก 104,113 เครื่อง) เครื่องซักผ้าเพิ่มขึ้น 14% (104,139 เครื่องจาก 90,728 เครื่อง) ตู้เย็นเพิ่ม 8% (จาก 211,361 เครื่องจาก 195,846 เครื่อง) และเครื่องซักผ้า 8.2% (133,496 เครื่องจาก 123,464 เครื่อง) สำหรับยอดขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ลดลงในหลายประเภท ได้แก่ โทรทัศน์และเครื่องเสียง ทั้งนี้ค่าเงินรูเปียที่ตกต่ำลงเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือน มิถุนายน นั้น ส่งผลกระทบอย่างมากกับสินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์ การขยายตัวทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซียนั้น คาดว่าจะส่งผลต่อการขยายตัวของสินค้าอุปโภคบริโภค โดยตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคที่เติบโตขึ้นนั้นก็จะส่งผลต่อการขยายตัวของสินค้าที่มีการเคลื่อนไหวเร็ว (Fast moving goods) และสินค้าที่มีความทนทาน (Durable goods) ซึ่งจะส่งผลต่อการขยายตัวของการค้าและการลงทุนในอินโดนีเซีย
สินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าประเภททุน
เมื่อพิจารณาจากข้อมูลของกระทรวงการค้าในช่วงปี 2004-2008 อินโดนีเซียนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมประมาณ 31 รายการ ได้แก่ เหล็กกล้า เครื่องจักร ยายยนต์ เคมีภัณฑ์พื้นฐาน กระดาษและเยื่อกระดาษ โดยการนำเข้าสินค้าดังกล่าวของอินโดนีเซียจะเพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี
สินค้าประเภทวัตถุดิบพื้นฐานและสินค้าทุนยังคงเป็นสินค้านำเข้าหลักของอินโดนีเซีย โดยในปี 2008 มูลค่าการนำเข้าสินค้าประเภทวัตถุดิบพื้นฐานมีมูลค่า 10,716.70 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 50.61% จาก 7,115.75 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับการนำเข้าสินค้ากระดาษและเยื่อกระดาษมีมูลค่า 2,518.49 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 48.79% จาก 1,692.60 เหรียญสหรัฐ ในปีก่อนหน้า
การนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมในปี 2004-2008 (ล้านเหรียญสหรัฐ)
สินค้า | ปี 2006 | ปี 2007 | ปี 2008 |
1. เหล็กกล้า เครื่องจักร และยานยนต์ | 17,031.41 | 20,539.04 | 39,978.69 |
2. อิเล็กทรอนิกส์ | 2,488.31 | 4,035.98 | 13,444.71 |
3. เคมีภัณฑ์พื้นฐาน | 6,315.39 | 7,115.75 | 10,716.70 |
4. สิ่งทอ | 1,085.68 | 1,192.00 | 3,901.78 |
5. อาหารและเครื่องดื่ม | 2,178.23 | 3,616.14 | 3,157.97 |
6. กระดาษและเยื่อกระดาษ | 1,392.04 | 1,692.60 | 2,518.49 |
7. เครื่องใช้ไฟฟ้า | 852.98 | 1,118.31 | 2,470.79 |
8. ปุ๋ย | 624.65 | 761,78 | 2,337.64 |
9. เคมีภัณฑ์อื่น ๆ | 1,170.03 | 1,293.82 | 1,845.64 |
10.อาหารสัตว์ | 883.50 | 1,149.49 | 1,741.63 |
11.ผลิตภัณฑ์จากทองแดงและดีบุก | 671.21 | 877.58 | 1,699.07 |
12.ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม | 682.90 | 832.24 | 1,265.30 |
13.พลาสติก | 454.85 | 527.62 | 1,164.88 |
14.ยางพาราแปรรูป | 465.31 | 533.68 | 887.29 |
15.ยา | 483.65 | 603.47 | 700.96 |
16.เซรามิกส์ หินอ่อน และแก้ว | 298.67 | 336.01 | 638.85 |
17.หนัง ผลิตภัณฑ์จากหนัง และรองเท้า | 195.18 | 227.16 | 579.62 |
18.ไม้แปรรูป | 248.44 | 289.86 | 419.32 |
19.สินค้าเกษตรอื่น ๆ | 140.94 | 197.35 | 412.79 |
20.เครื่องกีฬา เครื่องดนตรี อุปกรณ์การศึกษาและของเล่น | 162.05 | 181.54 | 350.63 |
21.ยาสูบ | 168.02 | 233.31 | 321.33 |
22.น้ำมัน Essential oils | 224.46 | 252.05 | 321.33 |
23.กล้องถ่ายรูปและเลนส์ | 49.72 | 63.65 | 309.43 |
24.เครื่องสำอาง | 134.08 | 183.50 | 243.35 |
25.ซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ซีเมนต์ | 95.60 | 105.51 | 145.28 |
แหล่งข้อมูล : กระทรวงการค้า อินโดนีเซีย
ผักและผลไม้อินโดนีเซียมีการนำเข้าผลไม้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2008 มีมูลค่านำเข้า 474.18 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.57% จาก 449.16 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2007
ในปี 2008 อินโดนีเซียนำเข้าส้มเป็นอันดับหนึ่งโดยมีมูลค่าถึง 124.05 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศจีนและออสเตรเลีย และอันดับรองลงมาคือทุเรียน โดยมีมูลค่า 30.83 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศไทย และสัปปะรด ซึ่งมีมูลค่า 1.99 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยนำเข้าจากไทยและมาเลเซีย
อินโดนีเซียนั้นเป็นตลาดที่มีศักยภาพสำหรับสินค้าประเภทผักด้วยเช่นกัน โดยมีการนำเข้าผักเป็นมูลค่าสูงถึง 442.41 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2008 เพิ่มขึ้น 25.9% จาก 351.39 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากประเทศไทยและฟิลิปปินส์ สำหรับอันดับที่สามคือมันฝรั่งซึ่งมีการนำเข้าเป็นมูลค่า 35.50 ล้านเหรียญสหรัฐจากสหรัฐอเมริกา ยุโรป และออสเตรเลีย
ผักและผลไม้การนำเข้าข้าวของอินโดนีเซียมีปริมาณลดลงในปี 2008 โดยมีการนำเข้าเพียง 298,000 เมตริกตันจาก 667,210 เมตริกตันในปี 2007 การนำเข้าข้าวลดลงในปี 2008 ซึ่งเป็นผลมาจากความสำเร็จของการเพิ่มผลผลิตภายในประเทศ สำหรับการนำเข้าข้าวของอินโดนีเซียนั้นจะเป็นการนำเข้าจากประเทศไทยและเวียดนาม
ทั้งนี้ความสำเร็จของการเพิ่มผลผลิตข้าวทำให้อินโดนีเซียสามารถส่งออกข้าวได้บางส่วน อย่างไรก็ดี เนื่องจากการผลิตข้าวของอินโดนีเซียนั้นมีความผันผวนมากการที่อินโดนีเซียเป็นตลาดบริโภคข้าวที่ใหญ่ของโลกทำให้ยังคงมีความต้องการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ
แหล่งข้อมูล: สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงจาการ์ตา