รายงานเศรษฐกิจ ปี 2568

ข้อมูลสภาวะเศรษฐกิจอินโดนีเซีย ไตรมาส 1/2568 รวมทั้งพัฒนาการที่สำคัญ

1. สถิติจากสำนักงานสถิติอินโดนีเซีย และ Bank Indonesia (BI)

1.1 ประชากร 284.43 ล้านคน (สถิติช่วงครึ่งแรกปี 2568)

1.2 ประชากรวัยแรงงาน 153.05 ล้านคน (เดือน ก.พ. 2568)

1.3 อัตราว่างงาน 7.28 ล้านคน (เดือน ก.พ. 2568)

1.4 ค่าแรงขั้นต่ำในกรุงจาการ์ตา 5,396,791 รูเปียห์ (เดือน ม.ค. 2568)

คิดเป็นประมาณ 10,649 บาทตามอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบัน ทั้งนี้ ค่าแรงขั้นต่ำในแต่ละจังหวัดของอินโดนีเซียจะแตกต่างกันไปตามสภาพเศรษฐกิจและการคำนวนของรัฐบาล โดยกรุงจาการ์ตามีค่าแรงขั้นต่ำสูงที่สุดในประเทศ

1.5 อัตราดอกเบี้ย 5.75% (เดือน เม.ย. 2568)

1.6 เงินคงคลัง 157.09 พันล้าน USD (27 มี.ค. 2568)

1.7 อัตราเงินเฟ้อ (CPI) ร้อยละ 1.03 yoy (31 มี.ค. 2568) โดยเป้าหมายการคุมอัตราเงินเฟ้อของ BI คือ 2.5±1% yoy

1.8 การเติบโตของเงินให้สินเชื่อ (loan growth) 9.16% yoy (เดือน มี.ค. 2568)

1.9 อัตราความยากจน 24.06 ล้านคน (สถิติเดิม ณ เดือน ก.ย. 2567 ยังไม่มีการสำรวจใหม่)


2. เศรษฐกิจอินโดนีเซีย ในไตรมาส 1/2568

2.1 ขยายตัว 4.87% yoy ซึ่งลดลงจากไตรมาส 4/2567 (ขยายตัว 5.02% yoy)

และเป็นการขยายตัวที่น้อยที่สุดตั้งแต่ไตรมาส 3/2564 (ช่วง COVID-19) โดยนับเป็นอุปสรรคของเป้าหมายการเพิ่มการขยายตัวของ GDP ให้ได้ 5.2% yoy ในปีนี้ และ 8% yoy ภายใน 5 ปี

สาเหตุหลัก ได้แก่

(1) การ freeze budget ของหน่วยงานภาครัฐ
เพื่อปรับโยกงบประมาณภาครัฐของแต่ละกระทรวงในห้วงต้นปีที่ผ่านมาสำหรับดำเนินโครงการอาหารกลางวันฟรีและกองทุน Danantara ทำให้การใช้จ่ายภาครัฐล่าช้าและลดลง

(2) การสะสมทุนถาวร (Gross Fixed Capital Formation – GFCF)
ของภาคธุรกิจ ในด้านการซื้อเครื่องจักร/อสังหาริมทรัพย์/ทรัพย์สินถาวรอื่น ๆ ในอินโดนีเซีย ชะลอตัวลงจากความผันผวนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์โลก ส่งผลกระทบต่อ GDP ภาพรวมของไตรมาส ซึ่งการชะลอตัวของ GFCF นี้ อาจมีผลระยะยาวด้วย เนื่องจากภาคธุรกิจอาจลังเลที่จะขยายกิจการจนกว่าตลาดจะเสถียรมากขึ้น

(3) การชะลอตัวของการใช้จ่ายภาคครัวเรือน
ในเดือน มี.ค. 2568 (ขยายตัว 4.89% yoy ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในรอบ 5 ไตรมาสที่ผ่านมา) ซึ่งเป็นเดือนรอมฏอนและมีเทศกาล Idul Fiti ในช่วงปลายเดือน ซึ่งโดยปกติทุกปีจะมีการนำเข้าสินค้าสูง และมีการซื้อสินค้าจำนวนมาก แต่ในปีนี้การจับจ่ายใช้สอยค่อนข้างเงียบเหงากว่าปีอื่น ๆ สะท้อนให้เห็นถึงการใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่มีความระมัดระวังมากขึ้น

(4) ในห้วงต้นปีที่ผ่านมา มีอัตราการเลิกจ้างงานสูงในภาคการผลิต การค้าส่งและค้าปลีก
รวมถึงภาคการบริการ จากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและคำสั่งซื้อจากต่างประเทศลดลง การนำเข้าสินค้าราคาถูกมาแข่งขันกับสินค้าที่ผลิตในประเทศที่มีต้นทุนการผลิตสูงกว่าทั้งกระบวนการ นอกจากนี้ ยังมีจำนวนผู้ว่างงานอีกหลายตำแหน่ง

2.3 การค้าระหว่างประเทศของอินโดนีเซีย ในไตรมาส 1/2568 ตามข้อมูลของ BPS Indonesia สรุปดังนี้

2.3.1 อินโดนีเซียได้ดุลการค้าในไตรมาสนี้ 10.9 พันล้าน USD

ซึ่งเป็นการได้ดุลการค้าติดต่อกันเป็นเดือนที่ 59 (พ.ค. 2563 - มี.ค. 2568) และในเดือน มี.ค. 2568 อินโดนีเซียได้ดุลการค้าถึง 1.98 พันล้าน USD จากการค้ากับสหรัฐอเมริกา ซึ่งคาดว่า (1) ภาคธุรกิจเร่งการส่งออกสินค้าต่าง ๆ โดยเฉพาะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รองเท้า และน้ำมันปาล์มดิบไปยังสหรัฐฯ ก่อนที่สหรัฐฯ จะประกาศขึ้นภาษีนำเข้า และ (2) ยอดการนำเข้าสินค้าไม่สูงนักในช่วงเดือนรอมฏอนจากสถานการณ์เศรษฐกิจ ที่ไม่แน่นอน และกำลังการจับจ่ายที่ชะลอตัว

2.3.2 ในไตรมาสนี้ อินโดนีเซียส่งออกสินค้าไปยังไทย 2.32 พันล้าน USD

และนำเข้าสินค้าจากไทย 2.25 พันล้าน USD ทำให้อินโดนีเซียเป็นฝ่ายได้ดุลการค้าประมาณ 70 ล้าน USD

2.4 การลงทุนในไตรมาส 1/2568 สรุปดังนี้

2.4.1 มีมูลค่า 465.2 ล้านล้านรูเปียห์ (27.6 พันล้าน USD)

หรือคิดเป็น 24.4% ของเป้าหมายทั้งหมดในปี 2568 (119.72 พันล้าน USD) เพิ่มขึ้น 16% YoY โดย 49.5% มาจาก FDI ซึ่งน่าจะได้รับแรงหนุนจากนโยบายการลงทุนที่ต่อเนื่องของภาครัฐที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนและคู่ค้าได้ ทั้งนี้ อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุดในไตรมาสนี้ (FDI+DDI) ได้แก่ (1) อุตสาหกรรมการแปรรูปแร่เหล็กและผลิตเหล็กขั้นพื้นฐาน (2) การคมนาคมขนส่ง โกดัง และโทรคมนาคม (3) อุตสาหกรรมเหมืองแร่

2.4.2 ในไตรมาสนี้ อินโดนีเซีย

สามารถดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมปลายน้ำตามนโยบายชาติได้ 8.29 พันล้าน USD คิดเป็น 29.3% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมดในไตรมาส โดยรายละเอียดการลงทุนในแต่ละอุตสาหกรรมสาขาหลัก ได้แก่ (1) การแปรรูปแร่ (นิกเกิล เหล็ก ทองแดง ตะกั่ว บอกไซต์ ฯลฯ) 5.93 พันล้าน USD (2) เกษตรและป่าไม้ 1.89 พันล้าน USD (3) น้ำมันและก๊าซ 398.4 ล้าน USD และ (4) ประมงและสินค้าจากทะเล 62.6 ล้าน USD

2.4.3 ไทยเป็นผู้ลงทุนลำดับที่ 17 ในไตรมาสนี้

โดยมีมูลค่าการลงทุน 89.07 ล้าน USD ทั้งนี้ อุตสาหกรรมที่ธุรกิจไทยลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ธุรกิจเคมีและยา ธุรกิจยางและพลาสติก การค้า เหมืองแร่


3. ข้อมูลเพิ่มเติม

3.1 อินโดนีเซียยังคงเป้าหมายผลักดันให้ GDP ขยายตัว 5%

ในปีนี้ แม้สถาบันต่าง ๆ จะปรับการคาดการณ์ GDP จากปัจจัยต่าง ๆ ก็ตาม (IMF คาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งปีของอินโดนีเซียจะอยู่ที่ราว 4.7% เท่านั้น)

3.2 ปัจจุบันรัฐบาลอินโดนีเซียพยายามปรับกฎต่าง ๆ

ที่เป็นอุปสรรคทางการค้ามากขึ้นภายหลังการเจรจากับสหรัฐฯ รวมถึงการเปลี่ยนแปลง local content rules (TKDN) อาทิ การเริ่มอนุญาตให้ภาครัฐจัดซื้อสินค้าที่มีส่วนประกอบที่ผลิตภายในประเทศ อย่างน้อย 25% (จากเดิม 40%) และการออกใบรับรอง local content ให้เร็วขึ้น แต่ยังไม่มีกำหนดว่าจะปรับกฎ TKDN สำหรับสินค้าและการลงทุนอื่น ๆ เมื่อใด ซึ่งประเด็นหลังนี้เป็นสิ่งที่นักลงทุนต่างชาติเร่งรัด